ภัสสร บุณยเกียรติ

ภัสสร เหลียวรักวงศ์ หรือ ภัสสร บุณยเกียรติ ชื่อเล่น ฮันนี่ (8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512) ประกวดนางสาวไทยได้รางวัลขวัญใจช่างภาพนางสาวไทยปี 2531[1]และได้เป็นตัวแทนสาวไทยไปประกวดนางงามนานาชาติ ปี 1988 ที่ญี่ปุ่นได้รางวัลขวัญใจช่างภาพ เมื่อเธอก้าวลงมาจากเวทีนางงาม สู่การเป็นนักแสดงภาพยนตร์และละครหลายเรื่อง แต่งานที่โด่งดังสุดขีด ทำให้ชาวบ้านเรียกฮันนี่ได้สนิทปาก ก็เห็นจะเป็นงานเพลงชุดแรกในชีวิตในมาดนางเสือสาว ที่ตั้งชื่ออัลบั้มยืดยาวมากกว่าอัลบั้มเพลงยุคนั้น "ดวงตาข้างขวาของฉันคล้ายเป็นเนื้อเยื่อพิเศษ" ภายใต้สังกัด "คีตาเรคคอร์ด" แม้ว่าประสบการณ์การเป็นนักร้องยังอยู่ในระดับที่ยังไม่ถึงที่สุด แต่ตัวเพลงต่างๆ ก็สามารถวางภาพลักษณ์ของเธอได้ดีสมน้ำสมเนื้อไม่น่าเกลียด แต่ที่ยิ่งรักและยิ่งเกลียดที่สุดก็คือ การแสดงคอนเสิร์ตครั้งใหญ่ของเธอ ที่ชาวบ้านเรียกว่า "คอนเสิร์ตเรทอาร์" จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์จากหลายๆ ฝ่าย ถึงขั้นมีการจัดอภิปรายและเสวนาเกี่ยวกับความแรงของเธอตามสถาบันชั้นนำต่างๆ เรียกว่าเธอสมเป็นเสือปืนไวจริงๆ ความแรงของงานเพลงชุดแรกที่ขายดีมาก บวกกับกระแส จนมีต้องเพิ่มปกพิเศษ "ไม่อยากจะบอกว่าดวงตาข้างซ้ายของฉันก็มีเนื้อเยื่อพิเศษ" ตามออกมาด้วยการเอาบทเพลง "เสือ" มารีมิกซ์ดนตรีใหม่ให้คึกคักกว่าเดิม[ต้องการอ้างอิง] ฮันนี่ประสบความสำเร็จสูงสุดในช่วงสั้น ๆ[ต้องการอ้างอิง] เมื่อจู่ๆ เธอทิ้งงานเพลงชุดที่ 2 ที่จะต่อยอดให้เธอกลายเป็นซุปเปอร์สตาร์[ต้องการอ้างอิง] ซึ่งทางทีมงานได้เตรียมชื่ออัลบั้มไว้แล้วว่า "น้ำผึ้งร้อนดั่งไฟ ใครโดนมันหลอมละลายทันที"[ต้องการอ้างอิง] และได้บันทึกเสียงเพลง "จูบสุดท้าย" ที่เป็นซิงเกิ้ลแรกเอาไวเรียบร้อย[ต้องการอ้างอิง] แต่ฮันนี่ทิ้งทุกอย่าง เพื่อไปใช้ชีวิตครอบครัว[ต้องการอ้างอิง] และต่อมาในปี 2539 ฮันนี่กกลับมาร้องเพลงอีกครั้งในชุด "ไม่กัดหรอก" โดยภาพลักษณ์ยังยึดคอนเซปท์เดิม แต่ด้วยวัยที่เพิ่มขึ้นจึงสวนทางกับภาพเซ็กซี่ในแบบเก่า จึงทำให้เธอต้องถอยหลัง และกลับไปตั้งหลักกับงานแสดงเป็นงานหลัก[ต้องการอ้างอิง]ด้านบทบาทการแสดง เริ่มแสดงละครโทรทัศน์เรื่อง ช่อปาริชาต ทางช่อง 7 สี และแสดงภาพยนตร์เรื่อง นักเลง และ แม่เบี้ย ในปี พ.ศ. 2532 จนได้รับรางวัลตุ๊กตาทอง 2 ตัวในปีเดียวกันคือ สาขาผู้แสดงนำหญิงยอดเยี่ยม จากเรื่อง แม่เบี้ย[2] และรางวัลดาวรุ่งหญิงยอดเยี่ยมจากเรื่อง นักเลง ฮันนี่จบจากเซ็นต์โยเซฟแล้วเข้าเรียนต่อที่พระนครธุรกิจ ก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงด้วยหลากหลายบทบาททั้งแสดงภาพยนตร์ และถ่ายแบบ ในภาพลักษณ์ที่เน้นความเซ็กซี่ ชีวิตส่วนตัวสมรสกับธีรพงษ์ เหลียวรักวงศ์ ช่างภาพนู้ด มีบุตรชาย 1 คน ชื่อ อินทัช เหลียวรักวงศ์ ปัจจุบันได้เป็นนักแสดงแล้ว จากนั้นหายจากวงการไปพักใหญ่ จนกลับมาแสดงละครให้กับช่องต่าง ๆ อีกครั้ง[3] โดยในปี 2550 ได้รับรางวัล ok!award : sexy foever จากนิตยสาร ok![ต้องการอ้างอิง]